การกำหนดนโยบายต่างประเทศ
การกำหนดนโยบายต่างประเทศนั้น
แต่ละประเทศมีเป้าหมายและวิธีการในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตนแตกต่าง
กันไป ซึ่งรัฐจะดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายซึ่งประกอบด้วย
รูปแบบการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
การกำหนดนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศนั้นมีรูปแบบต่าง ๆ
กัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างทางการเมือง
ฐานอำนาจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ตลอดจนอุดมการณ์
ผลประโยชน์ และความสนใจของผู้กำหนดนโยบายเป็นสำคัญ ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
1. นโยบายสมเหตุสมผล
รูปแบบของนโยบายนี้ถูกกำหนดหลังจากที่ผู้กำหนดนโยบายพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ
ที่เป็นไปได้ทั้งหมด เช่น
เมื่อถูกประเทศหนึ่งยื่นคำขาดขอเดินทัพผ่านประเทศตน
ประเทศที่ถูกยื่นคำขาดจะพิจารณาว่าหนทางปฏิบัติของตนมีได้กี่ทาง เช่น
ปฏิเสธการยื่นคำขาด และต่อสู้ทันทีหากมีการยกตราทัพเข้าประเทศ
ยอมตามคำคู่นั้น เจรจาถ่วงเวลา หรือขอให้มหาอำนาจอื่นเข้าแทรกแซง
เมื่อกำหนดทางเลือกแล้ว
ก็จะพิจารณาว่าทางเลือกแต่ละทางนั้นมีผลดีผลเสียอย่างไร
หลังจากนั้นก็จะเลือกหนทางที่ให้ผลดีที่สุดหรือก่อผลเสียน้อยที่สุด
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ เช่น
กรณีที่สวิตเซอร์แลนด์เลือกนโยบายเป็นกลาง เพราะพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ
แล้ว เห็นว่านโยบายนี้ตอบสนองผลประโยชน์ของชาติได้ดีที่สุด เป็นต้น
2. นโยบายโดยผู้นำ
รูปแบบนโยบายโดยผู้นำนี้จะถูกกำหนดโดยผู้นำเพียงคนเดียว
หรือเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น ไม่ว่าประเทศจะมีการปกครองแบบใดก็ตาม
สำหรับประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ เช่น
การกำหนดนโยบายเพื่อความยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรไรซ์ที่ 3
ซึ่งกำหนดโดยฮิตเลอร์และกลุ่มผู้นำทางทหารไม่กี่คน
หรือนโยบายวงศ์ไพบูลย์ร่วมกันแห่งเอเซีย
ซึ่งผู้นำทางทหารของญี่ปุ่นกำหนดในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
เป็นต้น สำหรับประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย
นโยบายโดยผู้นำนี้จะเกิดขึ้นหลังจากมีการเลือกตัวผู้นำโดยกระบวนการ
ประชาธิปไตย
เมื่อมีการเลือกสรรได้แล้วผู้นำเพียงไม่กี่คนก็จะทำหน้าที่กำหนดนโยบาย
3. นโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป
รูปแบบของนโยบายนี้เป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนโยบายเดิม เช่น
นโยบายคบค้ากับจีนของประเทศไทยซึ่งเป็นนโยบายที่เกิดจากการปรับตัวตาม
สถานการณ์กล่าวคือ
นโยบายของไทยเริ่มมีลักษณะผ่อนคลายความตึงเครียดและโอนอ่อนเข้าหาจีนอย่าง
ไม่เป็นทางการ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นนโยบายคบค้ากับจีนดังที่เป็นอยู่
เป็นต้น รูปแบบการกำหนดนโยบายเช่นนี้มีลักษณะอนุรักษ์นิยม กล่าวคือ
ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง
แต่ก็ยังรักษาลักษณะบางอย่างของนโยบายเดิมเอาไว้มิได้เปลี่ยนแปลงโดยทันที
4. นโยบายแบบการเมือง
ในประเทศซึ่งมีกลุ่มการเมืองหลายกลุ่มที่มีอำนาจหรือมีบุคคลหลายกลุ่มเข้ามี
ส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ และกลุ่มต่าง ๆ
เหล่านี้มีอุดมการณ์และผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป
รูปแบบการกำหนดนโยบายต่างประเทศอาจมีลักษณะการเมือง คือ
บุคคลแต่ละกลุ่มจะเสนอแนวนโยบายที่ตนเห็นสมควร และดำเนินการเจรจาต่อรอง
หรือใช้วิธีการทางการเมืองรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อให้นโยบายของตนปรากฏออกมาโดยมีลักษณะประสานผลประโยชน์และอุดมการณ์ของ
บุคคลหลายกลุ่ม ซึ่งอาจไม่ใช่นโยบายที่เหมาะสมที่สุด
แต่เป็นนโยบายที่สอดประสานผลประโยชน์ของคนกลุ่มต่าง ๆ ได้ดีที่สุด
5. นโยบายแบบการเมืองโดยระบบราชการ รูปแบบของนโยบายนี้
ระบบราชการจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลติดตามวิเคราะห์ข่าวคราวเหตุการณ์ระหว่าง
ประเทศ จัดทำข้อเสนอแนะ รวมทั้งทางเลือกต่าง ๆ
เพื่อให้รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศ
ซึ่งหน่วยราชการอาจเสนอเหตุผลและข้อมูลที่สนับสนุนทางเลือกหนึ่งซึ่งเห็นว่า
เหมาะสมที่สุดและเสนอเหตุผลสนับสนุนทางเลือกอื่น ๆ อย่างไม่หนักแน่น
รูปแบบต่าง ๆ
ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศเหล่านี้นั้นในทางปฏิบัติรัฐต่าง ๆ
มิได้ใช้แบบใดแบบหนึ่งเสมอไป
แต่ในทางปฏิบัติขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ใน
ขณะนั้น ประการหนึ่ง
และขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐเห็นสมควรอีก
ประการหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าแบบแผนหรือรูปแบบการกำหนดนโยบายต่างประเทศจะเป็นอย่างไร
ผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศพึงต้องคำนึง
และพิจารณาถึงผลประโยชน์แห่งชาติของตนอยู่เสมอ
กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับระบบการเมืองการปกครอง ความแตกต่างในลัทธิอุดมการณ์
และในบางครั้งรัฐบาลต่างคณะกันในรัฐเดียวกันนั้นเองก็อาจใช้กระบวนการกำหนด
นโยบายต่างประเทศแตกต่างกันไปด้วย ดังนี้
1.
ระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาของอังกฤษ
กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
โดยคณะรัฐมนตรีจะเป็นองค์กรสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ และตัดสินใจ
นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศ
ที่ได้ตัดสินใจกำหนดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี
การตัดสินใจของฝ่ายรัฐบาลจะถูกตรวจสอบโดยรัฐสภา
ด้วยการตั้งกระทู้ถามและวิจารณ์นโยบายเหล่านั้น
หากรัฐบาลมาจากเสียงข้างมากในรัฐสภา
นโยบายต่างประเทศนั้นก็จะได้รับการยอมรับสนับสนุน ในทางกลับกัน
หากฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้
นโยบายต่างประเทศนั้นก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้
ในบางกรณีถึงกับทำให้คณะรัฐบาลอาจต้องลาออกจากตำแหน่ง
ส่วนระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้น
รัฐธรรมนูญกำหนดให้การใช้อำนาจของสถาบันนิติบัญญัติกับสถาบันฝ่ายบริหาร
แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดนั้น
ประธานาธิบดีโดยรัฐมนตรีต่างประเทศและคณะผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านของ
ประธานาธิบดีจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ทั้งนี้ประธานาธิบดีแต่เพียงผู้เดียว
หรือประธานาธิบดีโดยความเห็นชอบของสภาความมั่นคงแห่งชาติ
จะเป็นผู้ตัดสินใจกำหนดนโยบายขั้นสุดท้าย เมื่อกำหนดเป็นนโยบายได้แล้ว
ประธานาธิบดีและฝ่ายบริหารสามารถนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติได้ทันที
กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศในประเทศที่มีระบอบการเมืองการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยนั้น
รัฐสภาสามารถเข้ามามีส่วนร่วมตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
นอกจากนี้ บทบาทของสถาบันที่มิใช่องค์การฝ่ายรัฐ เช่น
สื่อมวลชน กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ มติมหาชน
และนักวิชาการก็สามารถเข้ามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
โดยการเสนอแนะและวิพากษ์วิจารณ์ในด้านต่าง ๆ ในบางกรณี มติมหาชน
และการเรียกร้องของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มมีส่วนทำให้รัฐบาลต้องปรับปรุง
หรือยกเลิกนโยบายต่างประเทศนั้นได้ ดังตัวอย่างในปี พ.ศ. 2518
เป็นต้นมาที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเลิกเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามอินโดจีน
โดยรัฐสภาไม่สนับสนุนด้านงบประมาณ
อันเป็นผลมาจากการเดินขบวนประท้วงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
2. ระบอบเผด็จการ
ในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีกระบวนการกำหนดนโยบาย
ต่างประเทศแตกต่างไปจากประเทศประชาธิปไตย กล่าวคือ
ระบอบคอมมิวนิสต์จะมีพรรคคอมมิวนิสต์เพียงพรรคเดียวที่ครองอำนาจการเมืองโดย
สมบูรณ์
พรรคคอมมิวนิสต์จึงเป็นองค์กรที่กำหนดแนวนโยบายต่างประเทศตามที่เห็นสมควร
โดยพรรคคอมมิวนิสต์จะเป็นผู้กำหนดนโยบายให้ระดับสูงสุด
ส่วนองค์การฝ่ายรัฐบาล เช่น
รัฐมนตรีต่างประเทศจะทำหน้าที่เพียงผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป กระบวนการกำหนดนโยบายต่างประเทศของรัฐต่าง ๆ
ย่อมแตกต่างกันไปตามประเภทของระบอบการเมืองการปกครอง
ซึ่งจะต้องมีเป้าหมายเพื่อการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติมากที่สุด
มีความเสี่ยงในการนำไปปฏิบัติน้อยที่สุดและสอดคล้องกับความเป็นจริงทางการ
เมืองระหว่างประเทศในแต่ละขณะให้มากที่สุด
การดำเนินนโยบายต่างประเทศ
การดำเนินนโยบายต่างประเทศ คือ
การดำเนินกิจกรรมเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐภายในเวทีการเมืองระหว่าง
ประเทศ
รัฐจึงเป็นตัวแสดงที่สำคัญที่สุดในการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ
การนำนโยบายต่างประเทศไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายและวัตถุ
ประสงค์นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศ คือ ประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ
จะรับผิดชอบในระดับสูงหรือระดับนโยบาย
ส่วนระดับรองลงมาอาจมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลเป็นตัวแทน เช่น
นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปเจรจาและทำสัญญาซื้อ
น้ำมันดิบกับกลุ่มประเทศโอเปค เป็นต้น
ซึ่งในระดับปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นข้าราชการประจำกระทรวง
ต่าง ๆ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างรัฐในทางการเมืองระหว่างประเทศมักใช้เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ดังนี้
1. การทูต คือ การรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
การทูตจะช่วยลดความขัดแย้งด้วยการเจรจาหาทางประนีประนอมระหว่างกัน
การทูตเป็นเครื่องมือสำหรับรัฐต่าง ๆ
ที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์ได้โดยเสมอกัน
แต่ประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับจากการใช้เครื่องมือทางการทูตนั้นย่อมแตกต่างกัน
ออกไปขึ้นอยู่กับศิลปะของนักการทูตในการเจรจาซึ่งถือกันว่าการทูตเป็นศิลปะ
อย่างหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการต่าง ๆ เช่น การชี้ชวน โน้มน้าวและจูงจิตใจ
การบีบบังคับ และการข่มขวัญ เป็นต้น
2.
เครื่องมือทางจิตวิทยา
การใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาในการดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้น รัฐต่าง ๆ
จะใช้เครื่องมือนี้ได้ไม่เท่าเทียมกัน บางรัฐมีความสามารถในการใช้สูง
เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต แต่บางรัฐอาจมีขีดความสามารถที่จำกัด
โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน เป็นต้น
การใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาจะอยู่ในรูปของการโฆษณาชวนเชื่อ
ซึ่งมีมากในช่วงสงครามเย็นเป็นต้นมาสหรัฐอเมริกาถือว่า
การแถลงข่าวเพื่อผลทางด้านจิตวิทยาเป็นเครื่องมือที่สำคัญ
โดยมีสำนักงานแถลงข่าวอเมริกัน (USIA)
และสถานีวิทยุกระจายเสียงจากอเมริกา (Voice of America)
เป็นหน่วยงานสำคัญในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียต ก็พยายามแข่งขันในด้านนี้
โดยมีสำนักงานแถลงข่าวทาสส์ (Tass) และสำนักงานโฆษณาระหว่างประเทศ
(AGITPROP) เป็นต้น นอกจากการโฆษณาชวนเชื่อแล้ว การให้ความช่วยเหลือ
การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
การให้ทุนไปศึกษาดูงานและฝึกอบรมเป็นอีกวิธีการหนึ่งเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย
ทางจิตวิทยา
3. เครื่องมือทางเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นวิธีการอย่าง
หนึ่งเพื่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ
เครื่องมือทางเศรษฐกิจนี้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางการเมือง การทหาร
และจิตวิทยา
เมื่อรัฐมีความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อ
กันแล้ว รัฐอาจได้ผลประโยชน์ทางการเมืองในแง่ของการขยายอิทธิพล
ได้ประโยชน์ทางการทหาร เช่น การตั้งฐานทัพ และประโยชน์ทางจิตวิทยา
เช่น ความรู้สึกที่เป็นมิตรต่อกัน เป็นต้น
4.
เครื่องมือทางการทหาร
การใช้เครื่องมือทางการทหารเป็นการใช้เพื่อการตัดสินปัญหาข้อขัดแย้งระหว่าง
กัน หรือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่นเพื่อการขยายเขตอิทธิพลของตน
การใช้เครื่องมือทางทหารนี้มีรูปแบบต่าง ๆ เช่น สงครามในรูปแบบต่าง ๆ
การแทรกแซงทางทหาร การงดการซื้อขายและให้ความช่วยเหลือทางทหาร เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น